Highlight
- ประกันภัยรถยนต์ช่วยปกป้องทรัพย์สินและลดภาระค่าใช้จ่าย สร้างความอุ่นใจในการขับขี่ ป้องกันคดีความและภาระหนี้สิน และดำเนินการให้สอดคล้องต่อข้อกำหนดตามกฎหมาย
- ประกันภัยรถยนต์มีทั้งภาคบังคับหรือ พรบ.รถยนต์ และภาคสมัครใจ ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ ประกันชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 2+ ชั้น 3 และชั้น 3+
- เทคนิคการเลือกประกันภัยรถยนต์ให้เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงงบประมาณและความจำเป็น สภาพของรถยนต์ รวมไปถึงสไตล์การขับขี่และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเดินทาง
- การเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขของประกันภัยรถยนต์ต้องคำนึงถึง ทั้งประเภทความคุ้มครอง ค่าเบี้ยประกันภัย ความคุ้มครอง การเครม ค่าสินไหมทดแทนและการหักค่าเสียหายส่วนแรก
สารบัญบทความ คลิกเพื่อเลือกอ่าน
ความสำคัญของประกันภัย ที่ผู้ใช้บริการสินเชื่อรถยนต์ควรรู้
รู้จักประเภทของประกันภัยรถยนต์ เพื่อเลือกให้เหมาะสมกับตัวคุณ
เทคนิควิธีเลือกประกันภัยให้เหมาะกับความต้องการ
เคล็ดลับการเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขของประกันภัยรถยนต์
ประกันภัยและสินเชื่อรถยนต์มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างไร
4 เหตุผลที่ประกันภัยรถยนต์สำคัญต่อคุณและสินเชื่อรถยนต์
ความสำคัญของประกันภัย ที่ผู้ใช้บริการสินเชื่อรถยนต์ควรรู้
หนึ่งในปัจจัยที่ถูกพ่วงมาพร้อมกับการยื่นกู้สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์นั่นก็คือ “ประกันภัยรถ” สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจ อาจจะมองเห็นเพียงแค่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่อาจจะมองข้ามความสำคัญที่สถาบันการเงินทุกแห่งบังคับให้ต้องมี ซึ่งเราจะอาสาพาคุณไปปูพื้นฐานว่าประกันภัยรถนั้นสำคัญและมีประโยชน์อย่างไรต่อการขับขี่
- ปกป้องทรัพย์สินและลดภาระค่าใช้จ่าย ประกันภัยรถยนต์ช่วยคุณลดความเสี่ยงทางการเงินในกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยคุ้มครองทั้งค่าซ่อมแซมรถยนต์ของตนเองและความเสียหายต่อรถยนต์คันอื่นหรือทรัพย์สินผู้อื่น ลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะสูงเกินกว่าที่ผู้ขับขี่จะรับผิดชอบได้
- ความอุ่นใจในการขับขี่ ประกันภัยรถยนต์ช่วยเพิ่มความมั่นใจและอุ่นใจในการเดินทาง เพราะผู้ขับขี่จะรู้สึกว่ามีการคุ้มครองความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
- ป้องกันคดีความและภาระหนี้สิน การมีประกันภัยยังช่วยลดปัญหาทางกฎหมายหรือคดีความที่อาจเกิดขึ้นในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยเฉพาะกรณีที่เป็นฝ่ายผิด
- ข้อกำหนดตามกฎหมาย ในบางประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) กฎหมายกำหนดให้รถยนต์ทุกคันต้องมีการทำประกันภัยประเภทบังคับ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกฝ่ายได้รับความคุ้มครองเบื้องต้นตามกฎหมาย
ประกันภัยภาคบังคับ และภาคสมัครใจที่คุณควรรู้จักและเข้าใจ
รู้จักประเภทของประกันภัยรถยนต์ เพื่อเลือกให้เหมาะสมกับตัวคุณ
เมื่อซื้อรถยนต์เป็นของตนเองจะต้องทำประกันภัยแบบไหน น่าจะเป็นคำถามที่หลาย ๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยมีรถมาก่อนคงยังงง ๆ ว่ามีทางเลือกแบบไหน และอะไรที่กฎหมายบังคับให้ต้องดำเนินการ มาหาคำตอบที่จะช่วยคุณคลายความสงสัย
- ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถยนต์) เป็นประกันภัยที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำสำหรับรถทุกคัน โดยให้ความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าสินไหมทดแทนในกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ โดยคุ้มครองผู้ประสบภัยที่เป็นบุคคลภายนอกและตัวผู้ขับขี่เองด้วย
ประกันภัยภาคสมัครใจ
- ประกันภัยชั้น 1 เป็นประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด ครอบคลุมทั้งกรณีการชนที่ไม่มีคู่กรณี เช่น ชนต้นไม้ การถูกชนโดยไม่มีคู่กรณี อุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต รวมถึงการสูญหายและไฟไหม้
- ประกันภัยชั้น 2 ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันภัยชั้น 1 แต่จะไม่ครอบคลุมการซ่อมแซมกรณีที่เกิดความเสียหายโดยไม่มีคู่กรณี เช่น การขับชนเอง
- ประกันภัยชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมจากชั้น 2 โดยเพิ่มการคุ้มครองกรณีที่เกิดการชนมีคู่กรณี แต่ไม่ครอบคลุมกรณีชนสิ่งของหรือไม่มีคู่กรณี
- ประกันภัยชั้น 3 ให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดกับคู่กรณี เช่น ค่าซ่อมรถของคู่กรณีหรือค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ไม่ครอบคลุมค่าซ่อมแซมรถของตนเอง
- ประกันภัยชั้น 3+ เพิ่มการคุ้มครองกรณีมีคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะ โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถของตนเองเฉพาะการชนกับรถอื่น
3 ปัจจัยที่สามารถใช้ประกอบการพิจารณาเลือกประกันภัยที่เหมาะกับคุณ
เทคนิควิธีเลือกประกันภัยให้เหมาะกับความต้องการ
เพียงแค่รู้ว่าประกันภัยรถยนต์มีกี่ประเภทนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอ ใครที่กู้สินเชื่อรถยนต์ก็ต้องมาทำความเข้าใจถึงเงื่อนไข ปัจจัยที่ควรพิจารณาด้วยว่าควรจะเลือกประกันภัยแบบไหนให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง เรามีเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพมาแนะนำ
- งบประมาณและความจำเป็น ควรเลือกประเภทประกันภัยที่เหมาะกับงบประมาณและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากต้องการความคุ้มครองสูงสุดและมีการเดินทางบ่อย ประกันชั้น 1 อาจเหมาะสม แต่ถ้าต้องการความคุ้มครองเบื้องต้นเพื่อประหยัดงบประมาณ ประกันชั้น 3 หรือ 3+ ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี
- สภาพรถยนต์ หากเป็นรถยนต์ใหม่ การเลือกประกันชั้น 1 จะช่วยคุ้มครองรถได้มากกว่า แต่หากเป็นรถยนต์เก่าหรือมีการใช้งานมานาน อาจเลือกประกันชั้น 2 หรือ 3 ตามความเหมาะสม
- สไตล์การขับขี่และความเสี่ยงในการเดินทาง ผู้ขับขี่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ขับรถในเมืองบ่อย ๆ หรือขับในพื้นที่เสี่ยง ควรเลือกประกันที่มีความคุ้มครองสูง เพื่อให้ครอบคลุมทุกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
รวม 9 เงื่อนไขที่ช่วยให้คุณเปรียบเทียบสินเชื่อรถยนต์ได้แบบง่าย ๆ
เคล็ดลับการเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขของประกันภัยรถยนต์
เพื่อให้ผู้ที่ทำประกันภัยพ่วงกับสินเชื่อรถยนต์ได้รับคุ้มค่าสูงสุด คุณควรพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะในด้านราคาและเงื่อนไขความคุ้มครอง ที่จะต้องช่วยบริหารความเสี่ยงในบริบทที่คุณต้องการได้อย่างครอบคลุม เพื่อให้เงินทุกบาทที่จ่ายไปเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณเปรียบเทียบได้ง่ายยิ่งขึ้น
1. ประเภทความคุ้มครอง
เปรียบเทียบประเภทประกันที่แต่ละบริษัทเสนอให้ เช่น ประกันชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 2+, ชั้น 3 หรือ ชั้น 3+ แต่ละประเภทมีระดับการคุ้มครองที่ต่างกัน การเลือกประเภทที่เหมาะสมกับความต้องการจะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าที่สุด โดยไม่ต้องจ่ายเกินความจำเป็น
2. ค่าเบี้ยประกันภัย
ค่าเบี้ยประกันเป็นปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา ควรตรวจสอบราคาที่เสนอจากหลายบริษัทและเปรียบเทียบที่คุ้มค่ากับความคุ้มครองที่ได้รับ และควรระวังเบี้ยประกันที่ต่ำมากเกินไปเพราะอาจมีข้อจำกัดในการเคลม
3. ความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ
ตรวจสอบว่าประกันครอบคลุมความคุ้มครองกรณีใดบ้าง เช่น คุ้มครองการชนแบบมีและไม่มีคู่กรณี, ความเสียหายต่อรถยนต์ของตัวเองและคู่กรณี, การโจรกรรม, ไฟไหม้ หรืออุบัติเหตุทางธรรมชาติ ควรเลือกกรมธรรม์ที่ครอบคลุมในความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับคุณมากที่สุด
4. การเคลมและบริการหลังการขาย
ศึกษาความสะดวกในการเคลมประกันและบริการหลังการขายของบริษัท เช่น ความรวดเร็วในการเคลม ความพร้อมในการให้คำปรึกษา ความง่ายในการส่งเอกสาร รวมถึงสถานที่ที่ให้บริการซ่อมที่ครอบคลุม เพราะประสบการณ์ในการเคลมเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อความพึงพอใจในระยะยาว
5. ค่าสินไหมทดแทนและการหักค่าเสียหายส่วนแรก
ค่าสินไหมทดแทน คือ จำนวนเงินที่บริษัทประกันจ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ควรเปรียบเทียบว่าวงเงินความคุ้มครองเป็นอย่างไร รวมถึงเงื่อนไขการหักค่าเสียหายส่วนแรกว่าต้องจ่ายเพิ่มหรือไม่ในกรณีเคลม
6. ส่วนลดและข้อเสนอพิเศษ
ตรวจสอบว่ามีส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่มีประวัติเกิดอุบัติเหตุ บางบริษัทอาจให้ส่วนลดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีการใช้บริการต่อเนื่องหรือมีคะแนนขับขี่ดี ซึ่งสามารถช่วยลดค่าเบี้ยได้มาก
7. ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน
เลือกบริษัทที่มีชื่อเสียงและประวัติการให้บริการที่ดี โดยสามารถตรวจสอบรีวิวจากลูกค้ารายอื่น หรือศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าบริษัทประกันสามารถให้ความคุ้มครองได้จริง
8. ข้อกำหนดเพิ่มเติมที่อาจมีผลต่อการเคลม
บางกรมธรรม์อาจมีข้อกำหนดพิเศษ เช่น การจำกัดอายุผู้ขับขี่ ผู้ขับขี่หลักที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ หรือข้อจำกัดที่บังคับให้ซ่อมในอู่ที่บริษัทกำหนดเท่านั้น ควรตรวจสอบข้อกำหนดเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลมในอนาคต
9. บริการช่วยเหลือฉุกเฉินและบริการเสริมอื่น ๆ
บางบริษัทมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี หรือบริการเสริมอื่น ๆ เช่น การบริการรถสำรองระหว่างซ่อม ค่าที่พักหากเกิดอุบัติเหตุไกลบ้าน บริการเหล่านี้ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความมั่นใจในการขับขี่
4 ความสัมพันธ์ที่ช่วยให้คุณมองเห็นความเชื่อมโยงของประกันภัยและสินเชื่อรถที่ชัดเจนขึ้น
ประกันภัยและสินเชื่อรถยนต์มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างไร
เข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยรถยนต์กันไปแล้ว แต่หลาย ๆ คนก็อาจจะมีคำถามเพิ่มเติมถึงความเชื่อมโยงระหว่างประกันภัยและสินเชื่อรถว่ามีความเกี่ยวข้อง และมีผลกระทบต่อตัวผู้ขอกู้อย่างไรกันบ้าง มาดูกันชัด ๆ ว่า 2 สิ่งนี้มีความสัมพันธ์กันในแง่ใดกันบ้าง
การคุ้มครองความเสี่ยงสำหรับสถาบันการเงิน
การให้สินเชื่อรถยนต์เป็นการลงทุนของสถาบันการเงิน ในกรณีที่รถสูญหายหรือเกิดความเสียหายหนัก สถาบันการเงินจะเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าในทรัพย์สิน (ตัวรถ) ซึ่งอาจทำให้ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้สินเชื่อต่อได้ การบังคับให้ทำประกันภัยรถยนต์จึงเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ให้สินเชื่อ
ประกันภัยที่รวมอยู่ในแพ็กเกจสินเชื่อ
หลายธนาคารหรือบริษัทไฟแนนซ์มีแพ็กเกจสินเชื่อที่รวมค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไว้ด้วย เพื่อให้ผู้กู้สามารถผ่อนชำระเบี้ยประกันภัยพร้อมกับค่างวดรถได้ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทันทีเมื่อทำประกัน ทำให้ผู้กู้สะดวกและง่ายต่อการจัดการค่าใช้จ่ายมากขึ้น
การคุ้มครองสินเชื่อในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้
หากเกิดกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระค่างวดได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์อื่นที่ทำให้รถเสียหาย การมีประกันภัยรถยนต์จะช่วยให้ผู้กู้ได้รับเงินค่าชดเชยจากการเคลมประกันซึ่งนำไปชำระคืนสินเชื่อรถยนต์ได้บางส่วน ทำให้ความเสียหายทางการเงินไม่รุนแรงมาก
อัตราดอกเบี้ยและเบี้ยประกันภัยที่เกี่ยวข้อง
บางครั้งอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์จะขึ้นอยู่กับประเภทประกันภัยที่ผู้กู้เลือก เช่น หากเลือกทำประกันภัยชั้น 1 ธนาคารอาจลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อให้อยู่ในระดับต่ำกว่า เนื่องจากรถได้รับความคุ้มครองที่ดี การเลือกประเภทประกันภัยจึงอาจมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยและภาระผ่อนชำระสินเชื่อของผู้กู้
สรุป
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งยื่นกู้สินเชื่อรถ หรือคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาบ้างแล้ว ทางเลือกแบบมือโปร ด้วยการพิจารณาสรรหาประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมกับรถของคุณ รวมถึงเชื่อมโยงกับสินเชื่อรถยนต์ ทั้งในด้านการช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุม สามารถบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร้กังวล เทคนิคและเคล็ดลับดี ๆ ที่นำมาบอกเล่าข้างต้น คงเป็นตัวช่วยให้คุณสามารถพิจารณาในแง่มุมต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด รอบคอบ ทำให้การตัดสินใจใช้เงินไปกับรถยนต์ในฝันของคุณนั้นเกิดความคุ้มค่า สร้างความมั่นใจ อุ่นใจได้ทุกครั้ง เมื่ออยู่หลังพวงมาลัย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Roojai: ประกันรถยนต์คืออะไร?
- Krungthai: ทำความรู้จักประกันรถยนต์มีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร
- TTBBank: เลือกประกันรถยนต์ยังไงให้ตอบโจทย์มากที่สุด